“พังอีกแล้ว เพิ่งซื้อมาไม่นานแท้ๆ ราคาก็ไม่ได้ถูกเลยนะเนี่ย !!”
เป็นประโยคที่ผมและน่าจะมีคนอีกหลายๆ คนพูดออกมาด้วยความเซ็งว่าอุตส่าห์ไปหาซื้อรองเท้าวิ่งมียี่ห้อโดยคาดหวังว่าว่าจะใส่ได้ดี และอยู่กับเราไปนานๆ
จากประสบการณ์การเปลี่ยนรองเท้ามาหลายคู่ เรื่อง Size และรูปร่างเท้าเป็นสิ่งสำคัญอันดับต้นๆ อยู่แล้ว ไม่งั้นตอนวิ่งและหลังวิ่งจะกลับมาด้วยอาการเท้าระบม (เรื่องนี้เกิดขึ้นกับ New Balance 7xx ของผมซึ่งซื้อมาเบอร์ต่ำกว่าที่ควรจะเป็น แต่รุ่นนี้ผมก็ไม่แนะนำเท่าไหร่ เพราะเชือกหลุดง่าย และไม่เหมาะกับคนเท้าแบน)
แต่เราจะเลือกรองเท้าอย่างไรให้ทนทานดีล่ะ สิ่งที่ผมพบเจอมาตลอด มักจากเป็นการพังจากส่วนด้านล่างที่กระทบพื้นโดยตรงครับ หรือก็คือตัวเบรกนั่นแหละ ที่แต่ละเจ้าออกแบบมาแตกต่างกัน (เพราะผมเป็นคนวิ่ง Outdoor ไม่ชอบวิ่งบนลู่ ซึ่งการวิ่ง Outdoor จะต้องเจอสารพัดพื้น) ผมเลยเก็บภาพบางส่วนขณะที่ผมกำลังเลือกซื้อรองเท้าวิ่งคู่ใหม่มาให้ดูกันครับ
เริ่มจาก Nike
โดยผมแทบจะบอกลา Nike ในทันที เพราะเคยซื้อรองเท้าวิ่งยี่ห้อนี้ในราคาสูงที่ทีเดียว แต่พื้นของ Nike มักจะมีเบรกติดกาวในหลายจุด ซึ่งเมื่อถึงเวลาเสื่อม ผมเดินไปไหนที แทบจะทิ้งซากเบรกหลุดตามที่ต่างๆ เลยทีเดียว (ไม่ได้พูดเล่นด้วย)
ASICS
โดยส่วนตัวชอบหน้าตา และรู้สึกใส่สบายในระดับนึง แต่พอเห็นพื้นก็บอกลาทันที (เพราะเชื่อว่าใช้ไปไม่นาน มีหลุดแน่ๆ)
Adidas
ตัวที่ถือนี้เป็นรุ่นเก่าหน่อย ราคาจะไม่จัด และรู้สึกโอเคกับพื้นเลย แต่ใส่แล้วไม่สบายเท่าไหร่นัก เลยหยิบมาอีกรุ่นนึง
พอหยิบรุ่นนี้มานี่ต้องบอกว่าพื้นแบบนี้แหละที่ต้องการ ไม่มีการติดกาวเบรกประปรายเหมือนยี่ห้ออื่น แต่ทีนี้เบรคลักษณะคล้ายๆ กันนี้ มีสองรุ่น
ภาพพื้นรองเท้าด้านบนเป็นรุ่นสีเขียวด้านขวา แต่รุ่นสีเหลืองเป็นรุ่นที่ออกแบบให้ลดการกระแทกได้ดีกว่า เมื่อลองใส่แล้วสบายกว่า รวมถึงใช้ร่วมกับเทคโนโลยี miCoach ของ adidas ได้ด้วย (แต่ราคาก็จะสูงกว่าตามไปด้วย)
สุดท้ายเลยยอมกัดฟันซื้อ
ซึ่งหลังจากออกไปวิ่ง พบว่าลดอาการเจ็บเท้าจากตอนใส่ New Balance 7xx ไปได้มาก นอกเหนือจากการลดแรงกระแทก อาจจะด้วยเพราะได้ใส่รองเท้าที่พอดีกับเท้ามากขึ้น และมีทรงที่แบนกว่าด้วย ส่วนความทนของพื้นเบรกจะนานแค่ไหน เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ครับ